วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561
พริก ประโยชน์ที่มากกว่าความเผ็ด
วันนี้มาพูกถึงพืชผักสมุนไพรที่อยู่คู่ครัวไทยมานานแสนนานกันดีกว่าค่ะนั่นก็คือ พริกนั่นเอง เพราะว่านอกจากว่ามันนั้นจะช่วยเพิ่มความแซ่บให้กับอาหารของคุณแล้ว มันยังช่วยในเรื่องของความอร่อยของอาหาร เจริญอาหารมากขึ้น อีกทั้งนอกจาความเผ็ดและความอร่อยของมันนั้น พริกนั้นยังมีมากกว่านั้น เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าพริกนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ที่ไม่ใช่แค่ความเผ็ด
- พริกนั้น สามารถช่วยเราในเรื่องของการหายใจเวลาที่เรานั้น เป็นไข้หวัด เพราะว่าในพริกมีสารแคปไซซิน ซึ่งเจ้าสารนี้จะช่วยในเรื่องของการลดน้ำมูกและอีกทั้งยังลดในเรื่องของปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ทั้งในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ
- พริกสามารถช่วยในเรื่องของการอุดดันในเส้นเลือดได้อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยลดการเสียชีชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน เพราะว่า การที่เรารับประทานอาหารที่มีพริกเป็นส่วนประกอบนั้นจะสามารถช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดันอีกด้วย
- พริกสามารถช่วยในเรื่องของการลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล เนื่องจากเจ้าสารพระเอกของเรา นั่นก็คือสารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือ LDL อีกทั้งในขณะเดียวกันนั้นเอง มันก็ยังช่วยส่งเสริมในการสร้างคลอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค
- พริกสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการที่จะเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูงนั่นเอง คุณทราบหรือไม่ค่ะว่าการที่เราบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ อีกทั้งยังมันมันช่วยในเรื่องของการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้
- พริกสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่างๆของร่างกายอีกด้วยนะ อาทิเช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น
- พริก ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ที่ดีให้แก่คุณอีกด้วย ก็เพราะว่าเจ้าสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟินขึ้น ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
เป็นอย่างไรบ้างคะ ประโยชน์ของพริก ดังนั้นเวลาที่คุณทำอาหารคุณอาจจะทำการบุบพริกไม่เยอะลงไปด้วย นอกจากจะช่วยในเรื่องต่างๆแล้ว ยังอร่อยกว่าเดิมอีกด้วยนะคะ
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561
"ย่านาง" อาหารที่เป็นยา
ย่านางนับว่าเป็นผักที่มีประโยชน์อีกชนิดหนึ่ง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ใช้ในการประกอบอาหารพื้นบ้านไทยหลายๆ ตำรับ ในใบย่านางมีวิตามินเอและซีสูง นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไฟเบอร์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน และไนอะซีน สำหรับสรรพคุณในทางยา ย่านางถือเป็นยาเย็น มีความโดดเด่นด้านการดับพิษและลดไข้ โดยรากใช้แก้ไข้ทุกชนิด เช่น ไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด สุกใส ไข้กาฬ ขับกระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง และแก้เบื่อเมา ส่วนใบและเถา จะใช้แก้ไข้ ลดความร้อน และแก้พิษตานซาง รากย่านางเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตำรับยาเบญจโลกวิเชียร หรือ ยา 5 ราก หรือแก้วห้าดวง ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ไข้ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ร่วมกับรากชิงชี่ รากท้าวยายหม่อม รากคนทา และรากมะเดื่อชุมพร
เมื่อศึกษาถึงองค์ประกอบทางเคมี ในรากย่านางส่วนใหญ่เป็นอัลคาลอยด์ในกลุ่ม isoquinoline ในใบประกอบด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ สารโพลีฟีนอล แคลเซียมออกซาเลท และอัลคาลอยด์กลุ่ม isoquinoline สำหรับการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง ยังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการทดลองในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ยังไม่พบรายงานการวิจัยในคน โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันโลหิต ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต้านการเจิญของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆ ในการต้านอนุมูลอิสระ
การศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดน้ำจากทั้งต้นและสารสกัด 50% เอทานอลจากใบไม่เป็นพิษต่อหนูแรท แต่การป้อนรากย่านางในขนาดสูง มีความเป็นพิษทำให้สัตว์ทดลองตาย
จะเห็นว่าย่านางเป็นสมุนไพรในครัวเรือนอีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ ปัจจุบันมีการแนะนำการใช้น้ำคั้นจากใบย่านางดื่มเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย โดยนักวิชาการสาธารณสุขด้านการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งมีการรวบรวมประสบการณ์การใช้น้ำคั้นจากใบย่านางในการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ มาเผยแพร่ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของย่านางยังมีไม่มากนัก ยังไม่พบรายงานการศึกษาทางคลินิก รวมทั้งข้อมูลด้านความเป็นพิษในคน ดังนั้นการใช้ย่านางรักษาโรคอื่นๆ นอกเหนือจากแก้ไข้ซึ่งมีประวัติการใช้มาเนิ่นนานแล้ว จึงควรระมัดระวังและมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้ในการรักษาโรค เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้
วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561
ประโยชน์ของแครอทต่อสุขภาพตา
แครอท (Carrot) ช่วยบำรุงสายตา เพราะในแครอทมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการ อีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาของเราด้วย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกว่า เรติน่า ซึ่งการที่ได้รับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตาให้สามารถมองเห็นอย่างปกติไปได้อีกนาน เพราะแครอท (Carrot) อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังมีสารสำคัญคือสาร “ฟอลคารินอล” (falcarinol) ซึ่งช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง เป็นต้น
วิตามินและสารอาหารที่สำคัญของแครอท ต่อ 100 กรัม เช่น
- วิตามินเอ 835 ไมโครกรัม 104% ต่อ 100 กรัม
- เบต้าแคโรทีน 8,285 ไมโครกรัม 77% ต่อ 100 กรัม
- ลูทีน และ ซีแซนทีน 256 ไมโครกรัม
- ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินซี 5.9 มิลลิกรัม 7%
- วิตามินอี 0.66 มิลลิกรัม 4% เป็นต้น
ประโยชน์ของแครอท
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง และต้อกระจก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง สรรพคุณ แครอทช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด เป็นต้น
แครอทสามารถทำเป็นของว่างเพื่อสุขภาพได้ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารคาวได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วแครอทสามารถนำมาทำขนมได้เช่นกัน อาทิเช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท ขนมเค็กแครอท หรือดื่มน้ำแครอทหวาน ๆ สักแก้วในระหว่างมื้อ สามารถช่วยดับหิวและดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวานและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย
ข้อแนะนำ : ในแต่ละวันควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารให้หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆกันทุกวัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและมีสุขภาพที่ดี ควรศึกษาข้อมูลจากหลากหลาย
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561
กะเพรา สมุนไพรบนจานอาหาร
กะเพราไก่ไข่ดาว กะเพราไข่เยี่ยวม้า ฯ และอีกหลายเมนูที่มีกะเพราเป็นส่วนประกอบ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า สมุนไพร ใบเล็ก กลิ่นฉุน บนจากอาหารคุณเป็นมากกว่าอาหารที่ทำให้คุณอิ่มท้อง
กะเพรา จัดเป็นพืชสมุนไพร และมีกลายพันธุ์ เช่น กะเพราแดง กะเพราขาว ลักษณะโดยทั่วไปของกะเพรา เป็นไม้พุ่ม ความสูงประมาณ 30-120 เซนติเมตร ลำต้นของกะเพราเป็นไม้เนื้อแข็ง มีกลิ่นหอม ใบของกะเพรามีกลิ่นฉุน ลักษณะใบหยาบมีขนโดยเฉพาะส่วนที่เป็นยอดอ่อน ดอกกะเพรา มีลักษณะเป็นชั้นๆคล้ายรูปฉัตร กลีบดอกมีสีขาว เมล็ดมีสีดำ ห่อหุ้มด้วยกลีบเลี้ยง
สรรพคุณทางด้านสมุนไพรและการรักษา
ใบ - ใบสดของกะเพรา มีกลิ่นฉุน และมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก ซึ้งใน น้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วยสารเคมี อย่าง linaloo และ methyl chavicol
ข้อความ
วิธีการปรุงเป็นยา
ใบกะเพราสด - ใบกะเพราสด 1 กำมือ มาต้มในน้ำเดือด แล้วกรองเอากากออกเอาแต่น้ำดื่ม
สรรพคุณ - เป็นยาแก้ท้องอืด ขับลมในลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้อง บำรุ่งธาตุ ขับลม นอกจากนี้น้ำที่คั้นได้จากใบกะเพราหากนำมาทาผิวหนัง ยังสามารถช่วยรักษา กลาก เกลื้อน ได้อีกด้วย
ใบกะเพรา - ยังสามารถแก้อาการปวดท้องของเด็กได้ดี วิธีการใช้นั้น นำใบกะเพรามาคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับยามหาหิงคุ์ และทาบริเวณรอบๆสะดือ ของเด็ก
ใบกะเพราแห้ง - นำมาบดแล้วชงกินกับน้ำ สรรพคุณที่ได้ จะช่วยยับยั้งการเจริญติบโตของเชื้อโรคบางชนิดและฆ่าเชื่อจุลินทรีย์บางอย่างในลำไส้อีกด้วย
เมล็ด - เมล็ดของกะเพรานำมาแช่น้ำ จะได้หมอกของเหลวสีขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีอาการฝุ่นเข้าตา จะทำให้ตาไม่บวมช้ำ
ราก - รากของกะเพรา นำไปตากให้แห้ง ต้มกับน้ำเดือด มีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุได้เป็นอย่างดี และแก้อาการธาตุพิการ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)