อาหารเพื่อสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
แตงกวา: ผักเครื่องเคียง มากคุณค่า
แตงกวา เป็นพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ลำต้นเป็นเถา ใบเป็นใบเดี่ยว หยาบ มีขน และมีมุมใบ 3 – 5 มุม ดอกมีสีเหลือง คนทั่วไปนิยมปลูกเพื่อนำผลมาทำเป็นอาหาร โดยเฉพาะเป็นเครื่องเคียงรับประทานกับน้ำพริก หรืออาหารจานเดียวอย่างข้าวผัด ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ฯลฯ และสามารถนำมาแปรรูปเป็นแตงกวาดองได้
แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบมากถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น สาวๆ ที่รักสวยรักงาม จึงมักนำแตงกวามาฝานเป็นแว่นบางๆ วางบนผิวหน้าหรือบนเปลือกตา เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และบำรุงผิว นอกจากนี้ในแตงกวายังมีสารอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น ซิลิก้า ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูก กระดูกอ่อน และเส้นเอ็น โพแทสเซียมและแมงกานีส ช่วยควบคุมความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย แมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการหมุนเวียนเลือด ที่สำคัญคือ แตงกวาเป็นพืชที่มีใยอาหารมาก จึงช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยกำจัดของเสียที่ตกค้างในร่างกาย รวมทั้งให้พลังงานต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
นอกจากคุณค่าทางอาหารแล้ว แตงกวายังมีสรรพคุณทางยาด้วย คือ ผลและเมล็ดอ่อน ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและความจำ ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ แก้กระหายน้ำ และมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ใบ ใช้แก้ท้องเสีย บิด เถา ช่วยลดความดันโลหิต และน้ำในแตงกวา ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ กระหายน้ำ
เป็นพืชผักสวนครัวที่มากไปด้วยคุณค่าอย่างนี้ เห็นทีคงต้องมอบบทนางเอกให้เสียหน่อยกับเมนู “ยำแตงกวา” อาหารโบราณที่รับประทานกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
นานาประโยชน์จากฟักทอง
ฟักทองนั้นเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงมากเมื่อเทียบกับผักผลไม้อื่นๆ อีกทั้งยังมีแคลอรีต่ำ จึงทำให้ฟักทองนั้นเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร ประโยชน์จากฟักทองนั้นได้มาจากหลายๆส่วน ไม่ใช่ได้มาจากเพียงผลฟักทอง อาทิเช่น
ใบฟักทอง
ใบอ่อนของฟักทองนั้นสามารถรับประทานได้ โดยมีการกินกันในหลายภูมิภาค เช่นในทวีปแอฟริกา รวมถึงในประเทศไทยเองด้วย ใบฟักทองอุดมไปด้วยธาตุสังกะสี เหล็ก แคลเซียม และยังมียอดฟักทองที่ให้วิตามินเอสูงมาก และเนื่องจากวิตามินเอละลายในน้ำมัน การผักยอดฟักทองกับน้ำมันจึงเหมาะสมที่สุด เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดี
ผลฟักทอง
เป็นทรงแบน สีเขียวเข้ม เนื้อในสีเหลืองส้ม ผลฟักทองเป็นที่นิยมในการประกอบเป็นอาหารชนิดต่างๆไปทั่วโลก เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการนำไปอบ ย่าง บดใส่ซุป ในบราซิลและแอฟริกามักทำเป็นซุป ในญี่ปุ่นนำมาทำเป็นเทมปุระ ซึ่งก็คือการชุบแป้งทอด และในประเทศไทยบ้านเรามีการนำมาประกอบอาหารหลากหลาย ทั้งผัดใส่ไข่ แกงเผ็ดฟักทอง
น้ำจากเนื้อฟักทองช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
จากงานวิจัยในจีน พบว่าน้ำตาลโพลีแซคคาไรด์จากโปรตีนในเนื้อฟักทองมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ น้ำตาลชนิดนี้ละลายได้ในน้ำคั้นผลฟักทอง นักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบกับหนูที่เป็นเบาหวาน ได้ผลออกมาว่าระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น น้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังเพิ่มการทนต่อกลูโคส และยังพบอีกว่า สารสกัดน้ำตาลชนิดนี้ในปริมาณที่เหมาะสมนั้นดีกว่าปริมาณที่ต่ำเกินไปและดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาเบาหวานอีกด้วย
เมล็ดฟักทอง
มักทานเป็นอาหาร ขนมขบเคี้ยว ด้วยการคั่ว อุดมไปด้วยแร่ธาตุเหล็ก สังกะสี โพแทสเซียม แมกนีเซียม กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายชนิดต่างๆ
น้ำมันเมล็ดฟักทอง
มักใช้ในการปรุงอาหารในแถบประเทศยุโรปตะวันออก และยุโรปตอนกลาง น้ำมันเมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยวิตามินอี กรดไขมันไม่อิ่มตัว น้ำมันเมล็ดฟักทองก็มีประโยชน์หลายอย่าง สามารถป้องกันต่อมลูกหมากโต ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีประสิทธิภาพมากในผู้ป่วยเบาหวาน ลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอล ช่วยบรรเทาโรคปวดข้อเข่า และยังใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่อีกด้วย
วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561
ขมิ้นชัน: กินถูกเวลารักษาถูกโรค
ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรยอดนิยมที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณค่าทางโภชนาการ คนโบราณมักนำขมิ้นชันมาประกอบอาหาร เพราะมีวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดไขมันในตับ ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทำความสะอาดลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ รวมทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย
แต่การกินขมิ้นชันเพื่อให้ได้ผลดีนั้น ควรกินให้ตรงกับเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงาน ซึ่งจะให้ผลในด้านการบำรุงรักษา รวมทั้งแก้ไข และฟื้นฟูระบบของอวัยวะนั้นๆ เรียกว่า กินถูกเวลาก็รักษาถูกโรค ดังนี้
เวลา 03.00 – 05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด การกินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง รวมทั้งช่วยในเรื่องภูมิแพ้ และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
เวลา 05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ การกินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้เป็นประจำจะช่วยฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้บีบรัดตัวเพื่อให้การขับถ่ายเป็นปกติ
เวลา 07.00 – 09.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะอาหาร ขมิ้นชันที่กินในเวลานี้จะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารซึ่งเกิดจากการกินข้าวไม่ตรงเวลา ท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ปวดเข่า ขาตึง รวมทั้งช่วยบำรุงสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ด้วย
เวลา 09.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม การกินขมิ้นชันในเวลานี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนหรือผอมเกินไป รวมทั้งช่วยลดอาการของโรคเกาต์ และอาการของเบาหวานได้
เวลา 11.00 – 13.00 น. เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องหัวใจ เพราะขมิ้นชันจะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ส่วนใครที่กินเลยเวลา 11.00 น.ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ ปอด และผิวหนัง ตามลำดับ จึงควรกินขมิ้นชันในปริมาณมากสักหน่อยจึงจะช่วยดูแลระบบต่างๆ ตามที่กล่าวมาได้อย่างทั่วถึง
เวลา 13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก การกินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้จะช่วยแก้ปัญหาอาการปวดท้องที่มีสาเหตุมาจากไขมันเกาะลำไส้เล็ก ซึ่งทำให้เกิดแก๊ส และอาการปวดท้องตามมา
เวลา 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ขมิ้นชันที่กินในช่วงเวลานี้จะช่วยดูแลให้หูรูดของกระเพาะปัสสาวะแข็งแรง รวมทั้งแก้ปัญหาเรื่องตกขาวในสตรี ช่วงเวลานี้หากมีกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกได้จะดีมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุด
สำหรับช่วงเวลาอื่นๆ หลังจากนี้ไปจนถึงการกินก่อนเข้านอน ขมิ้นชันจะช่วยในเรื่องของความจำ เมื่อตื่นนอนตอนเช้าจะไม่รู้สึกอ่อนเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้การกินขมิ้นชันในปริมาณมากๆ ยังช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุของอาการผดผื่นคัน และยังช่วยขับไขมันในตับได้ดีอีกด้วย
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561
สะเดามหัศจรรย์
หน้าหนาวนี้ ถ้าพูดถึงหนึ่งในอาหารยอดฮิตที่คุณแม่บ้านหลายๆบ้าน หรืออาจจะเป็นคุณเองต้องนึกถึงอาหารชนิดนี้เป็นอันดับต้นๆ นั่นคือ สะเดาน้ำปลาหวานกับปลาดุกย่าง เอกลักษณ์ของสะเดานั้น คงหนีไม่พ้นความขมสุดๆของมันนั่นเอง ซึ่งความขมของสะเดานั้นเองจึงทำให้บางคนรู้สึกไม่ชอบ และไม่ทานมันเลย แต่คุณจะรู้ไหมค่ะ มีอะไรเอ่ย แฝงมากับความขมของสะเดา สะเดานั้นมีสองประเภทด้วยกัน มีทั้งสะเดาขมและสะเดามัน ทั้งสองอย่างมีประโยชน์เหมือนกันเพียงแต่ว่าสะเดามันนั้นมีความขมน้อยกว่าสะเดาขมทั่วไปค่ะ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทานกับน้ำปลาหวานและปลาดุกย่าง อร่อยอย่าบอกใครเลยนะคะ
แน่นอนค่ะจากที่กล่าวมาทางข้างต้น คือประโยชน์จากความขมของมันมากมายซะจริงๆ เรียกได้ว่าคนโบราณนั้นขนานนามเจ้าสะเดาว่าเป็นพืชมหัศจรรย์กันเลยทีเดียว เพราะว่าทุกส่วนของเจ้าต้นสะเดาเนี่ยมีประโยชน์มากๆเลยเพราะว่าถ้าเราไม่นำมันมาทำเป็นอาหารยังสามารถนำมันมาทำเป็นยารักษาโรคได้มากมาย เรามาเรียงกันทีละส่วนกันเลยดีกว่าค่ะ เริ่มจาก
1. ราก เมื่อคุณมีอาการไม่สบาย มีไข้ รากของมันมีสรรพคุณสามารถยาแก้ไข้ได้ และทำให้เราอาเจียนอีกด้วย
2. ผล ส่วนผลของสะเดานั้นเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นโรคพยาธิ เพราะผลของสะเดาจะเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นดีและแก้โรคริดสีดวงทวารได้อีกด้วย
3. ก้าน ก้านของเจ้าสะเดานั้นสามารถใช้แก้ไข้เหมือนกับรากของสะเดาค่ะ และช่วยรักษาอาการท้องร่วง
4. แก่น มาถึงส่วนของแก่นของสะเดาใช้แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน และแก้ไข้ได้อีกเช่นกันค่ะ แถมในส่วนของที่เป็นโรคเลือด แก่นของสะเดายังช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย
เป็นไงคะนอกจากอาหารสะเดาน้ำปลาหวานกับปลาดุกย่างแล้ว เรียกได้ว่าแต่ละส่วนของสะเดานั้น ยังนำมาเป็นยาได้อีกมากมาย นอกจากนี้ ความมหัศจรรย์จากความขมของมันไม่จบเท่านั้นค่ะ เพราะภูมิปัญญาชาวบ้านที่บอกต่อๆกันมาว่าสะเดานั้น สามารถนำสะเดามาคั้นน้ำและนำน้ำที่ได้จากการคั้นของสะเดานำไปรดบริเวณต้นพืชของเรา เท่านี้มันก็สามารถเป็นยาฆ่าแมลงได้อีกด้วย ซึ่งแน่นอน ว่ามันไม่เป็นภัยต่อโลกของเราแน่นอน ทิ้งท้ายไว้นะค่ะ ว่า โบราณท่านว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” เนี่ย มันเรื่องจริงๆนะคะ
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561
คุณประโยชน์ของบร็อคโคลี ผักสีเขียวเข้มที่คุณอาจจะไม่รู้
บร็อคโคลี เป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่ เพราะสีเขียวที่ค่อนข้างเข้ม ของผักชนิดนี้ แต่หากเราลองศึกษาถึงประโยชน์ของผักชนิดนี้ให้ละเอียดแล้วล่ะก็ จะพบว่า บร็อคโคลีเป็นผักที่มีประโยชน์มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ และหากคุณยังไม่เชื่อนี่คือสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกอยากจะหาบร็อคโคลีมาทานอย่างแน่นอน
1. บำรุงหัวใจ
เพราะในบร็อคโคลีประกอบไปด้วย ลูทีน แคโรทีนอยด์ วิตามิน B6 และโฟเลต ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีผลโดยตรงในการช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ การกินบร็อคโคลีบ่อยๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดในสมองตีบได้อีกด้วย
2. ช่วยในการบำรุงสายตา
เนื่องจาก แคโรทีนอยด์ และ ลูทีน ในบร็อคโคลี จะช่วยในการบำรุงระบบประสาทตา และช่วยป้องกันไม่ให้ดวงตาของเราเป็นโรคต้อกระจำ และโรคเกี่ยวกับดวงตาที่เกิดจากการเลื่อมเนื่องจากอายุมากได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
3. ลดการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
ในเรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการได้ออกมาให้ความเห็นว่า คนที่ทานบร็อคโคลีเป็นประจำนั้น จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะน้อยกว่าคนที่ไม่ชอบทาน มากถึง 40% เลยทีเดียว
4. ปกป้องผิวจากมะเร็งผิวหนัง
โดยส่วนใหญ่แล้วมะเร็งผิวหนังมักจะเกิดจากการที่เราตากแดดนานๆ ติดต่อกันเป็นประยะเวลาที่ยาวนาน จนทำให้กระบวนการในการสร้างเม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากการป้องกันด้วยการทาครีม หรือโลชั่นกันแดดเป็นประจำแล้ว อาหารที่เรากินเข้าไป อย่างบร็อคโคลีก็มีส่วนที่จะช่วยเหมือนกัน โดยบร็อคโคลี จะมีสารที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการช่วยลดผลกระทบของรังสี UV ที่อาจจะมากระทบกับผิวหนังของเรานั่นเอง
5. ป้องกันการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
เพราะในบร็อคโคลี มีสารอาหารหลายอย่าง ที่สามารถช่วยในการลดโอกาส และกระบวนการที่จะทำให้เกิดอาการข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้ ซึ่งกระบวนการทำงานของสารเหล่านั้นจะเน้นไปที่การช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น และช่วยในการป้องกันไม่ให้กระดูกอ่อนเกิดการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง
จากข้อมูลข้างต้นทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การทานผักสีเขียวที่ดูเหมือนจะไม่น่าทานอย่างบร็อคโคลีนั้น นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารอย่างเพียงพอแล้ว ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายต่อสุขภาพของเราอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว ซี่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักสุขภาพ บร็อคโคลี เป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง ที่จะหาซื้อมาประกอบอาหารรับประทานกันในครัวเรือน
หรือลูกค้าคนไหนไม่มีเวลาทำที่บ้าน แต่อยากรับประทาน สามารถมาสั่ง “ผัดบล็อกโคลี่กุ้งสด” เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ รสชาติกลมกล่อมหอมอร่อย กุ้งนุ่มๆ ผัดกับบล็อคโคลี่กรุบกรอบ หอมอร่อยเข้ากัน ได้คุณค่าของสารอาหาร มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รับประทานแล้วไม่อ้วนค่ะ บล็อคโคลี่ มีรสชาติหวานกรอบ อร่อยเฉพาะตัว ทานกับข้าวสวยร้อนๆอร่อยเข้ากัน
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561
พริก ประโยชน์ที่มากกว่าความเผ็ด
วันนี้มาพูกถึงพืชผักสมุนไพรที่อยู่คู่ครัวไทยมานานแสนนานกันดีกว่าค่ะนั่นก็คือ พริกนั่นเอง เพราะว่านอกจากว่ามันนั้นจะช่วยเพิ่มความแซ่บให้กับอาหารของคุณแล้ว มันยังช่วยในเรื่องของความอร่อยของอาหาร เจริญอาหารมากขึ้น อีกทั้งนอกจาความเผ็ดและความอร่อยของมันนั้น พริกนั้นยังมีมากกว่านั้น เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าพริกนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ที่ไม่ใช่แค่ความเผ็ด
- พริกนั้น สามารถช่วยเราในเรื่องของการหายใจเวลาที่เรานั้น เป็นไข้หวัด เพราะว่าในพริกมีสารแคปไซซิน ซึ่งเจ้าสารนี้จะช่วยในเรื่องของการลดน้ำมูกและอีกทั้งยังลดในเรื่องของปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ทั้งในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ
- พริกสามารถช่วยในเรื่องของการอุดดันในเส้นเลือดได้อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยลดการเสียชีชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน เพราะว่า การที่เรารับประทานอาหารที่มีพริกเป็นส่วนประกอบนั้นจะสามารถช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดันอีกด้วย
- พริกสามารถช่วยในเรื่องของการลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล เนื่องจากเจ้าสารพระเอกของเรา นั่นก็คือสารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือ LDL อีกทั้งในขณะเดียวกันนั้นเอง มันก็ยังช่วยส่งเสริมในการสร้างคลอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค
- พริกสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการที่จะเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูงนั่นเอง คุณทราบหรือไม่ค่ะว่าการที่เราบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ อีกทั้งยังมันมันช่วยในเรื่องของการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้
- พริกสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่างๆของร่างกายอีกด้วยนะ อาทิเช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น
- พริก ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ที่ดีให้แก่คุณอีกด้วย ก็เพราะว่าเจ้าสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟินขึ้น ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
เป็นอย่างไรบ้างคะ ประโยชน์ของพริก ดังนั้นเวลาที่คุณทำอาหารคุณอาจจะทำการบุบพริกไม่เยอะลงไปด้วย นอกจากจะช่วยในเรื่องต่างๆแล้ว ยังอร่อยกว่าเดิมอีกด้วยนะคะ
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561
"ย่านาง" อาหารที่เป็นยา
ย่านางนับว่าเป็นผักที่มีประโยชน์อีกชนิดหนึ่ง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ใช้ในการประกอบอาหารพื้นบ้านไทยหลายๆ ตำรับ ในใบย่านางมีวิตามินเอและซีสูง นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไฟเบอร์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน และไนอะซีน สำหรับสรรพคุณในทางยา ย่านางถือเป็นยาเย็น มีความโดดเด่นด้านการดับพิษและลดไข้ โดยรากใช้แก้ไข้ทุกชนิด เช่น ไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด สุกใส ไข้กาฬ ขับกระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง และแก้เบื่อเมา ส่วนใบและเถา จะใช้แก้ไข้ ลดความร้อน และแก้พิษตานซาง รากย่านางเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตำรับยาเบญจโลกวิเชียร หรือ ยา 5 ราก หรือแก้วห้าดวง ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ไข้ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ร่วมกับรากชิงชี่ รากท้าวยายหม่อม รากคนทา และรากมะเดื่อชุมพร
เมื่อศึกษาถึงองค์ประกอบทางเคมี ในรากย่านางส่วนใหญ่เป็นอัลคาลอยด์ในกลุ่ม isoquinoline ในใบประกอบด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ สารโพลีฟีนอล แคลเซียมออกซาเลท และอัลคาลอยด์กลุ่ม isoquinoline สำหรับการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง ยังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการทดลองในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ยังไม่พบรายงานการวิจัยในคน โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันโลหิต ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต้านการเจิญของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆ ในการต้านอนุมูลอิสระ
การศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดน้ำจากทั้งต้นและสารสกัด 50% เอทานอลจากใบไม่เป็นพิษต่อหนูแรท แต่การป้อนรากย่านางในขนาดสูง มีความเป็นพิษทำให้สัตว์ทดลองตาย
จะเห็นว่าย่านางเป็นสมุนไพรในครัวเรือนอีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ ปัจจุบันมีการแนะนำการใช้น้ำคั้นจากใบย่านางดื่มเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย โดยนักวิชาการสาธารณสุขด้านการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งมีการรวบรวมประสบการณ์การใช้น้ำคั้นจากใบย่านางในการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ มาเผยแพร่ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของย่านางยังมีไม่มากนัก ยังไม่พบรายงานการศึกษาทางคลินิก รวมทั้งข้อมูลด้านความเป็นพิษในคน ดังนั้นการใช้ย่านางรักษาโรคอื่นๆ นอกเหนือจากแก้ไข้ซึ่งมีประวัติการใช้มาเนิ่นนานแล้ว จึงควรระมัดระวังและมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้ในการรักษาโรค เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้
วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561
ประโยชน์ของแครอทต่อสุขภาพตา
แครอท (Carrot) ช่วยบำรุงสายตา เพราะในแครอทมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการ อีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาของเราด้วย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกว่า เรติน่า ซึ่งการที่ได้รับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตาให้สามารถมองเห็นอย่างปกติไปได้อีกนาน เพราะแครอท (Carrot) อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังมีสารสำคัญคือสาร “ฟอลคารินอล” (falcarinol) ซึ่งช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง เป็นต้น
วิตามินและสารอาหารที่สำคัญของแครอท ต่อ 100 กรัม เช่น
- วิตามินเอ 835 ไมโครกรัม 104% ต่อ 100 กรัม
- เบต้าแคโรทีน 8,285 ไมโครกรัม 77% ต่อ 100 กรัม
- ลูทีน และ ซีแซนทีน 256 ไมโครกรัม
- ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินซี 5.9 มิลลิกรัม 7%
- วิตามินอี 0.66 มิลลิกรัม 4% เป็นต้น
ประโยชน์ของแครอท
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง และต้อกระจก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง สรรพคุณ แครอทช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด เป็นต้น
แครอทสามารถทำเป็นของว่างเพื่อสุขภาพได้ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารคาวได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วแครอทสามารถนำมาทำขนมได้เช่นกัน อาทิเช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท ขนมเค็กแครอท หรือดื่มน้ำแครอทหวาน ๆ สักแก้วในระหว่างมื้อ สามารถช่วยดับหิวและดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวานและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย
ข้อแนะนำ : ในแต่ละวันควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารให้หลากหลาย ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆกันทุกวัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและมีสุขภาพที่ดี ควรศึกษาข้อมูลจากหลากหลาย
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561
กะเพรา สมุนไพรบนจานอาหาร
กะเพราไก่ไข่ดาว กะเพราไข่เยี่ยวม้า ฯ และอีกหลายเมนูที่มีกะเพราเป็นส่วนประกอบ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า สมุนไพร ใบเล็ก กลิ่นฉุน บนจากอาหารคุณเป็นมากกว่าอาหารที่ทำให้คุณอิ่มท้อง
กะเพรา จัดเป็นพืชสมุนไพร และมีกลายพันธุ์ เช่น กะเพราแดง กะเพราขาว ลักษณะโดยทั่วไปของกะเพรา เป็นไม้พุ่ม ความสูงประมาณ 30-120 เซนติเมตร ลำต้นของกะเพราเป็นไม้เนื้อแข็ง มีกลิ่นหอม ใบของกะเพรามีกลิ่นฉุน ลักษณะใบหยาบมีขนโดยเฉพาะส่วนที่เป็นยอดอ่อน ดอกกะเพรา มีลักษณะเป็นชั้นๆคล้ายรูปฉัตร กลีบดอกมีสีขาว เมล็ดมีสีดำ ห่อหุ้มด้วยกลีบเลี้ยง
สรรพคุณทางด้านสมุนไพรและการรักษา
ใบ - ใบสดของกะเพรา มีกลิ่นฉุน และมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก ซึ้งใน น้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วยสารเคมี อย่าง linaloo และ methyl chavicol
ข้อความ
วิธีการปรุงเป็นยา
ใบกะเพราสด - ใบกะเพราสด 1 กำมือ มาต้มในน้ำเดือด แล้วกรองเอากากออกเอาแต่น้ำดื่ม
สรรพคุณ - เป็นยาแก้ท้องอืด ขับลมในลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้อง บำรุ่งธาตุ ขับลม นอกจากนี้น้ำที่คั้นได้จากใบกะเพราหากนำมาทาผิวหนัง ยังสามารถช่วยรักษา กลาก เกลื้อน ได้อีกด้วย
ใบกะเพรา - ยังสามารถแก้อาการปวดท้องของเด็กได้ดี วิธีการใช้นั้น นำใบกะเพรามาคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับยามหาหิงคุ์ และทาบริเวณรอบๆสะดือ ของเด็ก
ใบกะเพราแห้ง - นำมาบดแล้วชงกินกับน้ำ สรรพคุณที่ได้ จะช่วยยับยั้งการเจริญติบโตของเชื้อโรคบางชนิดและฆ่าเชื่อจุลินทรีย์บางอย่างในลำไส้อีกด้วย
เมล็ด - เมล็ดของกะเพรานำมาแช่น้ำ จะได้หมอกของเหลวสีขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีอาการฝุ่นเข้าตา จะทำให้ตาไม่บวมช้ำ
ราก - รากของกะเพรา นำไปตากให้แห้ง ต้มกับน้ำเดือด มีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุได้เป็นอย่างดี และแก้อาการธาตุพิการ
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561
หอมแดง สรรพคุณไม่ธรรมดาพาไกลโรค
“หอม” (มีชื่อพื้นบ้านว่า หอมไทย หอมหัวเล็ก หอมเล็ก หอมแดง และหอมหัวแดงคนไทย) มีหลายชนิดแตกต่างกันไป ตามขนาด สี และกลิ่นหอม หอมที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็น หอมหัวเล็ก หรือที่เรียกว่า “หอมแดง”นั่นเอง ช่วงนี้จะเห็นหลายคนๆ มีอาการ ทั้งไอ จาม เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก บางคนเลือกซื้อยามาทาน เป็นอาทิตย์ก็ยังไม่หาย เสียงเปลี่ยน เจ็บคอ เห็นแล้วสงสาร ก็หาข้อมูลว่ามีผักสวนครัวพื้นบ้านเราอะไรบ้าง ที่จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้
เคล็ด(ไม่)ลับ สรรพคุณทางยา
ในหอมแดงอุดมด้วยวิตามิน และคุณค่าทางอาหารครบถ้วน แถมยังเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย บำรุงสมอง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ที่สำคัญ มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ไม่ขึ้นลงวูบวาบ
ด้วยความหลากหลายของตัวยาในหอมแดง ส่งผลให้มีสรรพคุณมากตามไปด้วย ข้อมูลจากสถาบันอภัยภูเบศรกล่าวถึงวิธีใช้ประโยชน์ของหอมแดงไว้ดังนี้
ไข้หวัด แก้หวัดคัดจมูก และช่วยลดน้ำมูก
ใช้หัวเล็กปอกเปลือกทุบพอแตก ห่อผ้าบางๆ วางไว้ตรงหัวนอน เพื่อให้กลิ่นหัวหอมเข้าจมูก ช่วยทำให้จมูกโล่ง สามารถบรรทาอาการหวัดได้ (วางไว้เวลาเด็กหลับ)
บรรเทาอาการท้องเดิน ท้องอืด/แน่น ขับลม
นำมาซอยเป็นแว่น ต้มเอาน้ำดื่ม
โรคหืดหอบ ไอเรื้อรั้ง
ใช้หัวหอมขนาดประมาณหัวแม่มือ ใส่ขิงและกระเทียม ผสมน้ำ 1 แก้ว แล้วปั่นกรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 2-3 ลูก ดื่มวันละ 1 แก้ว หลังแปรงฝันเสร็จ อาการหอบหืดจะค่อยๆ ดีขึ้น
แก้ผื่นคัน ลดการอักเสบ
หอมแดงหัวเล็ก 4-5 หัว ตำให้แหลก คั้นเอาน้ำ แล้วนำไปแช่ตู้เย็น 30 นาที จากนั้นนำมาทาบริเวณที่เป็นเม็ดผดผื่น
รักษาสิวและลดรอยด่างดำ
หอมแดงหัวเล็ก 4-5 หัว ล้างให้สะอาดแล้วนำมาย่างไฟ หรือฝานบางๆ ใช้แปะไว้บริเวณที่เป็นสิวหรือรอยด่างดำบนใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา และปลายจมูก เพราะอาจเกิดการระคายเคืองจากกำมะถันในน้ำหอมแดง ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์ รอยด่างดำจะค่อยๆ จางลง
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ผักหวานป่าผักบ้านๆที่ประโยชน์ล้นหลาม
ผักหวานป่า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรรพคุณมาก ๆ เลย คนส่วนใหญ่ชอบนำ ผักหวานป่า มาจิ้มกับน้ำพริก แต่วันนี้เราก็มีเรื่องของ สรรพคุณของผักหวานป่า และ ประโยชน์ของผักหวานป่า มาฝากกันอีกเช่นเคย เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ขึ้นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายของคนเราควรจะได้รับจากพืชผักสมุนไพรต่าง ๆ ว่าแล้วเราก็มาทำความรู้จักกับ สรรพคุณของผักหวานป่า และ ประโยชน์ของผักหวานป่า กันบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง และมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร และช่วยรักษาโรคอะไรได้บ้างนะ มาดูกันเลยดีกว่ากับ สรรพคุณของผักหวานป่า และ ประโยชน์ของผักหวานป่า
คุณค่าทางอาหารของผักหวานป่า
ผักหวานป่าจัดเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงชนิดหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแหล่งโปรตีน วิตามินซี และพลังงาน นอกจากนี้ยังมีปริมาณเยื่อใยพอสมควรช่วยในการขับถ่ายให้ดีขึ้น ในยอดและใบสดที่รับประทานได้ 100 กรัม จะประกอบด้วยน้ำ 76.6 กรัม โปรตีน 8.2 กรัม คาร์โบไฮเดท 10 กรัม เยื่อใย 3.4 กรัม เถ้า 1.8 กรัม แคโรทีน 1.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 115 มิลลิกรัม และค่าพลังงาน 300 กิโลจูล (KJ) อย่างไรก็ตามการบริโภคผักหวานป่าควรปรุงให้สุกเสียก่อน เนื่องจากการบริโภคสด ๆ ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการเบื่อเมา เป็นไข้ และอาเจียนได้ การนำผักหวานป่ามาปรุงอาหารนั้นใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็นยอดและใบอ่อน นำช่อผลอ่อน ๆ สำหรับผลแก่อาจลอกเนื้อทิ้งนำเมล็ดไปต้มรับประทานได้เช่นเดียวกับเมล็ดขนุน มีรสหวานมัน การปรุงอาหารจากผักหวานป่า นอกจากต้ม ลวก เป็นผักจิ้มน้ำพริกแล้วอาจนำไปทำแกง แกงเลียง หรือต้มจืดได้เช่นกัน
ประโยชน์ของผักหวานป่า
ผักหวานป่าถือว่าเป็นเครื่องยาไทยจำพวกผักจะใช้ส่วนรากมาทำยา รากมีรสเย็นสรรพคุณ แก้ไข้ แก้ดีพิการ แก้เชื่อมมัว แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้กระสับกระส่าย พบว่าผักหวานป่าจัดเป็นทั้งอาหารและยาประจำฤดูร้อนแก้อาการของธาตุไฟได้ตามแพทย์แผนไทย ส่วนยอดก็นิยมนำมาปรุงอาหารมีรสหวานกรอบช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำและระบายความร้อนหรือใช้ปรุงเป็นยาเขียวเพื่อลดไข้ ลดความร้อน ปัจจุบันพบว่ามีการนำมาพัฒนาเป็นชาผักหวานป่าทำเป็นเครื่องดื่มต้านอนุมูลอิสระ
สรรพคุณของผักหวานป่า
ส่วนของลำต้นจะใช้แก่นผักหวานต้มรับประทานน้ำเป็นยาแก้ปวดตามข้อหรือปานดงหรือจะใช้ต้นผักหวานกับต้นนมสาวเป็นยาเพิ่มน้ำนมแม่หลังคลอดบุตร รากต้มรับประทานน้ำเป็นยาเย็นแก้พิษร้อนในแก้น้ำดีพิการและแก้ปวดมดลูก
ส่วนที่ใช้ประโยชน์
ลำต้น ใช้ประโยชน์ในทางเป็นพืชสมุนไพรอย่างหนึ่ง ยอดอ่อน ดอกอ่อน และ ผลอ่อนใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ต้ม ผัด แกง ทอด ส่วน ผลสุกนำมาต้มให้สุกและรับประทานเนื้อข้างใน
แกงผักหวานปลากรอบนอกจากจะเป็นอาหารที่ให้พลังงานและคุณค่าทางโภชนาการสูง ยังเป็นแหล่งที่สำคัญของใยอาหาร ซึ่งมาจากการใส่ผักผักหวานและเห็ดลงไป จึงมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายของร่างกายคนเรา แวะมาทานอาหารหรือสนใจเมนูอาหารสุขภาพเมนูอื่นสอบถามได้ที่ร้าน thehome ถนนเลี่ยงเมือง เทศบาลนครอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 085 311 3331 เปิดบริการทุกวัน 17:30 - 23:45 น.
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2561
กินผักกาดขาว เจ็บป่วยอะไรก็แก้ได้
ผักตระกูลผักกาดมีอยู่หลายชนิด ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่คนไทย ก็มี ผักกาดเขียว ผักกาดขาว ผักกาดหัว เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีการนำมาใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด บางคนก็ชอบ แต่บางคนกลับไม่ชอบ บางคนชอบกินก้าน หรือบางคนก็ชอบกินใบเสียมากกว่า เอาเป็นว่า...ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เรามีสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในผักชนิดนี้มาบอกต่อกันถึงสรรพคุณและประโยชน์ของผักกาด จากคนที่ชอบกินก็ยิ่งดี ส่วนคนที่ไม่ชอบอาจเปลี่ยนใจมาชอบก็เป็นได้
ผักกาดขาวเป็นพืชล้มลุก ที่อยู่ในวงศ์ผักกาด มีลักษณะอวบน้ำ รับประทานใบเป็นหลัก เป็นผักที่มีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำและเส้นใยอาหาร รสหวานเล็กน้อย อ่อนนุ่ม ดูดซับน้ำได้ดี จึงมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้
ลักษณะของผักกาดขาว
ราก - เป็นระบบรากแก้ว แข็งแรง อ้วนกลม แต่ก็มีรากฝอยอยู่ประปราย โดยรากทั้งหมดจะไม่แผ่ขยายไปไกลมาก มักอยู่รวมกันเป็นกระจุก
ลำต้น - ลำต้นจะมองไม่ค่อยเห็นในช่วงแรกๆ มีลักษณะอ้วนกลม ตั้งตรง เป็นข้อสั้นๆ
ใบ - แตกออกมาจากลำต้น มีลักษณะอวบน้ำ ก้านใบอวบสีขาวออกเขียวเล็กน้อย แผ่นใบสีเขียวอ่อน โดยใบด้านในสีจะอ่อนกว่าใบด้านนอก เป็นกาบหุ้มซ้อนกันเป็นชั้นๆ แผ่นใบอ่อนนุ่ม ผิวใบหยัก ขนาดและรูปร่างของใบแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์
ดอก - ออกดอกเป็นช่อ แต่ละดอกประกอบไปด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ก้านช่อดอกยาว ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกสีเหลือง มีเกสรตัวเมีย 1 อัน เกสรตัวผู้ 5 อัน
เมล็ด - เมล็ดมีลักษณะแบนยาว หัวท้ายแหลม เปลือกบาง สีเทาปนครีม
พันธุ์ของผักกาดขาวที่นิยมปลูก
1. ผักกาดขาวพันธุ์เข้าปลียาว ปลีจะสูง ลักษณะเป็นรูปไข่
2. ผักกาดขาวพันธุ์เข้าปลีกลมแน่น หัวจะกลมและกาบใบจะแน่นกว่าพันธุ์ปลียาว
3. ผักกาดขาวพันธุ์ปลีหลวม คือผักกาดพื้นเมืองทั่วไป ปลูกง่าย มีลักษณะใบไม่ห่อ แต่อร่อยน้อยกว่าสองสายพันธุ์ด้านบน
ผักกาดขาว สรรพคุณแก้ปัญหาท้องผูก ได้อยู่หมัด
สำหรับคุณสมบัติเด่นของผักกาดขาวคงถูกใจคนที่มีปัญหาท้องผูก หรือมักมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายไม่เป็นปกติแน่ๆ เพราะเป็นผักที่มีเส้นใยอาหารสูงมาก จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น "เจ้าแห่งเส้นใยอาหาร" นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายไม่ให้สะสมจนส่งผลให้เกิดโรคอย่างโรคมะเร็งลำไส้ได้ หากรู้สึกว่าร่างกายขาดสารอาหารให้กินผักกาดขาวสิ เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี กรดอะมิโน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส เหล็ก ทองแดง สังกะสี ซิลิกอน โมลิบดีนัม โบรอน กรดนิโคตินิก เป็นต้น
ในผักกาดขาวยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำตาล น้ำและพลังงาน ซึ่งล้วนมีความจำเป็นต่อสุขภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง ระบบการหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยอาหาร กระตุ้นการทำงานของกระเพาะและลำไส้ บรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะ ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ช่วยดับกระหายเพราะผักกาดขาวนั้นมีรสหวานและมีฤทธิ์เย็น เป็นต้น นอกจากจะเป็นผักแล้วผักกาดขาวยังจัดเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อคนเรามาก แถมมีวางขายให้เราได้เลือกซื้อมากินกันอยู่ทุกที่ นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู หรือจะกินแบบสดเป็นผักเคียงกับน้ำพริกหรือส้มตำก็อร่อยไม่แพ้กัน แถมสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัยอีกด้วย
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561
มะเขือเทศลูกเล็กสีแดง แต่ประโยชน์ไม่เล็กนี้
มะเขือเทศลูกเล็กสีแดง แต่ประโยชน์ไม่เล็กนี้ หาซื้อทานได้ง่ายตามตลาดทั่วไป หรือ ห้างสรรพสินค้า ราคาค่อนข้างถูก ส่วนมากนิยมนำมาปรุงเป็นส่วนประกอบของอาหาร ตกแต่งอาหาร และ ใช้เพื่อบำรุงผิวพรรณในมะเขือเทศ มีประโยชน์มากมาย เพราะมีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินซี ( C ), วิตามินเอ ( A ), วิตามินเค ( K ), วิตามินพี ( P ), วิตามินบี ( B ), แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส และ ที่สำคัญมี ไลโคปีน ( Lycopene ) ที่ช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี มะเขือเทศไม่ได้แค่สวยน่ากิน หรือ นำมาประดับอาหาร เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันโรคร้าย ที่อาจเกิดขึ้นกับคุณได้ ( ประโยชน์มะเขือเทศ )
1. ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
ในมะเขือเทศมีไลโคปีนที่สูง และ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, โรคมะเร็งเต้านม, โรคมะเร็งตับอ่อน, โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, โรคมะเร็งปอด และ โรคมะเร็งรังไข่ในเพศหญิงได้
2. ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงมักพบได้ในวัยรุ่นจนถึงวัยผู้สูงอายุ และ มีความเสี่ยงมากถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ถ้าหากใครที่ชอบทานมะเขือเทศเป็นประจำอยู่แล้ว ก็จะช่วยได้ เพราะในมะเขือเทศมี วิตามินพี ( P )ที่มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
3. ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ หรือ โรคความจำเสื่อม
โรคความจำเสื่อม หรือ ที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ มักพบกับวัยผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ยังไม่ถึงวัยสูงอายุจะไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคความจำเสื่อม หรือ โรคอัลไซเมอร์ แต่เราสามารถป้องกันได้ ด้วยการกินมะเขือเทศ ให้เป็นประจำ จะทำให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพของสมอง และ ระบบประสาทที่ส่งผลในระยะยาว เมื่อไปถึงอายุมากจะสามารถช่วยลดความเสี่ยง ของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
4.ช่วยป้องกันโรคหอบหืด
การเป็นโรคหอบหืดสามารถเกิดขึ้น ได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งก็มีอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องมีการพบว่าในมะเขือเทศ มีส่วนช่วยป้องกันโรคหอบหืดได้
5. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
โรคหัวใจ โรคร้ายที่น่ากลัว การกินมะเขือเทศก็มีส่วนช่วยป้องกันได้เช่นกัน เพราะ ในมะเขือเทศมีสารอาหารที่จะช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคหัวใจได้ดีถ้าหากกินมะเขือเทศ เป็นประจำ
หากคุณต้องการรับประทานมะเขือเทศ และต้องการปริมาณไลโคปีนสูง แนะนำให้รับประทานมะเขือเทศ ที่ผ่านความร้อนมาแล้ว เพราะจะมีไลโคปีนที่สูง เช่น ซอสมะเขือเทศจากพิชซา และ ที่สำคัญ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และ สุขภาพดี ห่างไกลจากโรคร้าย จะต้อง ออกกำลังกาย ควบคู่ไปด้วยนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)